เมนู

อรรถกถาวรรคที่ 10



วรรคที่ 10

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อชฺฌตฺติกํ ได้แก่ สิ่งที่เป็นไปภายใน ด้วยอำนาจเกิด
เฉพาะภายในตน. บทว่า องฺคํ แปลว่า เหตุ. บทว่า อิติ กริตฺวา แปลว่า
กระทำอย่างนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอธิบาย ไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เรากระทำสิ่งที่เป็นไปทับตน คือเฉพาะตน อันตั้งขึ้นใน
สันดานของตน ว่าเป็นเหตุแล้ว ย่อมไม่เห็นเหตุอื่นสักอย่างหนึ่ง
ดังนี้.
บทว่า พาหิรํ ได้แก่ สิ่งที่เป็นภายนอกจากสันดานภายในตน.
บทว่า ธมฺมสฺส ได้แก่ พระสัทธรรม อธิบายว่าพระศาสนา. บทว่า
สมฺโมสาย ได้แก่ เพื่อความพินาศ. บทว่า อนฺตรธานาย ได้แก่ เพื่อ
ความไม่ปรากฏ. บทว่า ฐิติยา ได้แก่ เพื่อความตั้งอยู่ตลอดกาลนาน.
บทว่า อสมฺโมสาย อนนฺตรธานาย พึงทราบโดยนัยตรงกันข้าม
จากที่กล่าวแล้วนั่นแล. คำที่เหลือในสูตรนี้มีนัยดังกล่าวแล้วในธรรม
ที่มี 4 เงื่อนนั่นแล.

ในคำว่า อธมฺมํ หโมติ ทีเปนฺติ เป็นต้น เบื้องหน้าต่อจากนี้
พึงทราบความโดยปริยายแห่งพระสูตรก่อน. กุศลกรรมบถ 10
ชื่อว่า ธรรม. อกุศลกรรมบถ 10 ชื่อว่า อธรรม. อนึ่ง โพธิปักขิยธรรม
37 ประการคือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์

5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรค มีองค์ 8 ชื่อว่า ธรรม. ธรรมนี้ คือ
สติปัฏฐาน 3 สัมมัปปธาน 3 อิทธิบาท 3 อินทรีย์ 6 พละ โพชฌงค์
8 มรรคมีองค์ 9 และ อุปาทาน 4 นิวรณ์ 5 อนุสัย 7 มิจฉัตตะ 8
ชื่อว่า อธรรม. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธมฺโม ความว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อถือเอาส่วนแห่งอธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว แสดงว่า
เราจักทำอธรรมนี้ ให้เป็นธรรม กุศลจิตของอาจารย์ของพวกเรา
จักเป็นนิยยานิกธรรมเครื่องนำออก และพวกเราจักปรากฏในโลก
ด้วยอาการอย่างนี้ จึงกล่าวอธรรมนี้ ว่านี้เป็นธรรม ชื่อว่า แสดง
ธรรม ว่าเป็นธรรม. เมื่อถือเอาส่วนหนึ่ง ในส่วนแห่งธรรม เช่นนั้น
เหมือนกัน แล้วแสดงว่า นี้เป็นอธรรม ชื่อว่า แสดงธรรม ว่าเป็น
อธรรม. แต่เมื่อว่าโดยปริยายแห่งพระวินัย กรรมที่โจทย์ ด้วย
เรื่องที่เป็นจริงให้ระลึกได้แล้วปรับอาบัติตามปฏิญญา ชื่อว่าธรรม.
กรรม ที่ไม่ได้โจทย์ไม่ให้ระลึกได้ ด้วยเรื่องอันไม่เป็นจริง แล้ว
ปรับอาบัติ โดยที่ไม่ได้ปฏิญญาไว้ ชื่อว่า อธรรม.
เมื่อว่าโดยปริยายแห่งพระสูตร ธรรมนี้คือ การกำจัดราคะ
การกำจัดโทสะ การกำจัดโมหะ การสังวร การละ การพิจารณา
ชื่อว่าวินัย การไม่กำจัดราคะเป็นต้น การไม่สังวร การไม่ละ
และการไม่พิจารณา ชื่อว่า อวินัย. เมื่อว่าโดยปริยายพระวินัย
ธรรมนี้คือ วัตถุสมบัติ ญัตติสมบัติ อนุสาวนาสมบัติ สีมาสมบัติ
ปริสสมบัติ ชื่อว่า วินัย. วัตถุวิบัติ ปริสวิบัติ นี้ชื่อว่า อวินัย.
เมื่อว่าโดยปริยายแห่งพระสูตร คำนี้ว่า สติปัฏฐาน 4 สัมมัปป-
ธาน 4 อริยมรรคมีองค์ 8 พระตถาคตทรงภาษิตไว้ ตรัสไว้. คำนี้ว่า

สติปัฏฐาน 3 สัมมัปปธาน 3 อิทธิบาท 3 อินทรีย์ 6 พละ. สัม-
โพชฌงค์ 8 มรรคมีองค์ 9 พระตถาคต มิได้ทรงภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้.
เมื่อว่าโดยปริยายพระวินัย คำนี้ว่า ปาราชิก 4 สังฆาฑิเสส 13
อนิยต 2 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30 พระตถาคต ทรงภาษิตไว้ ตรัสไว้.
คำนี้ว่า ปาราชิก 3 สังฆาฑิเสส 14 อนิยต 3 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 31
พระตถาคตมิได้ทรงภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้.

เมื่อว่าโดยปริยายแห่งพระสูตร กิจนี้คือ การเข้าผลสมาบัติ
การเข้ามหากรุณาสมาบัติ ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ทรงแสดง
พระสูตรเนื่องด้วยเหตุที่เกิดเรื่องขึ้น การตรัสชาดก ทุกวัน ๆ พระ
ตถาคตเคยประพฤติมา. กิจนี้คือ การไม่เข้าผลสมาบัติ ฯลฯ การ
ไม่ตรัสชาดก ทุกวัน ๆ พระตถาคตไม่เคยประพฤติมา. เมื่อว่า
โดยปริยายแห่งพระวินัย กิจนี้คือ เมื่อถูกนิมนต์ อยู่จำพรรษาแล้ว
ต้องบอกลาจึงหลีกไปสู่ที่จาริก ปวารณาแล้วจึงหลีกไปสู่ที่จาริก
การกระทำปฏิสันถารก่อนกับด้วยภิกษุผู้อาคันตุกะ พระตถาคตเจ้า
เคยประพฤติมา. การไม่กระทำกิจที่พระตถาคตเคยประพฤติมานั้น
นั่นแล ชื่อว่า ไม่เคยประพฤติแล้ว.

เมื่อว่าโดยปริยายแห่งพระสูตร สติปัฏฐาน 4 อริยมรรคมีองค์
8 นี้ชื่อว่า พระตถาคตทรงบัญญัติ. สติปัฏฐาน 3 มรรคมีองค์
นี้ชื่อว่า ตถาคตไม่ทรงบัญญัติไว้. เมื่อว่าโดยปริยายแห่งพระวินัย
ปาราชิก 4 นิสสัคคียปาจิตตีย์ 30 นี้ชื่อว่า ตถาคตทรงบัญญัติ.
ปาราชิก 3 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 31 นี้ชื่อว่า ตถาคตไม่ทรงบัญญัติไว้.

ก็ในคำที่ตรัสไว้ในที่สุดแห่งสูตรทั้งปวงว่า ก็ภิกษุเหล่านั้น
ย่อมยังธรรมนี้ให้อันตธานไปนั้น ชื่อว่า อันตรธานมี 5 ย่างคือ
อธิคมอันตรธาน อันตรธานเห่งการบรรลุ 1 ปฏิปัตติอันตรธาน
อันตรธานแห่งการปฏิบัติ 1 ปริยัตติอันตรธาน อันตรธานแห่ง
ปริยัติ 1 ลิงคอันตรธาน อันตรธานแห่งเพศ 1 ธาตุอันตรธาน อันตร-
ธานแห่งธาตุ 1. ใน 5 อย่างนั้น มรรค 4 ผล 4 ปฏิสัมภิทา 4
วิชชา 3 อภิญญา 6 ชื่อว่า อธิคม. อธิคมนั้น เมื่อเสื่อมย่อมเสื่อมไป
ตั้งแต่ปฏิสัมภิทา. จริงอยู่ นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 1000
ปีเท่านั้น ภิกษุไม่สามารถจะให้ปฏิสัมภิทาบังเกิดได้ ต่อแต่นั้นก็
อภิญญา 6. แต่นั้นเมื่อไม่สามารถทำอภิญญาให้บังเกิดได้ ย่อมทำ
วิชชา 3 ให้บังเกิด. ครั้นกาลล่วงไป ๆ เมื่อไม่สามารถจะทำวิชชา
3 ให้บังเกิด ก็เป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสก โดยอุบายนี้เอง ก็เป็น
พระอนาคามี พระสกทาคามี และพระโสดาบัน. เมื่อท่านเหล่านั้น
ยังทรงชีพอยู่ อธิคมชื่อว่ายังไม่เสื่อม อธิคมชื่อว่า ย่อมเสื่อมไป
เพราะความสิ้นไปแห่งชีวิต ของพระอริยบุคคลผู้โสดาบันชั้นต่ำสุด
ดังกล่าวนี้ ชื่อว่าอันตรธานแห่งอธิคม.

ภิกษุไม่สามารถจะให้ฌาน วิปัสสนา มรรค และผล บังเกิด
ได้ รักษาเพียงจาตุปาริสุทธิศีล ชื่อว่าอันตรธานแห่งข้อปฏิบัติ.
เมื่อกาลล่วงไป ๆ ภิกษุทั้งหลายคิดว่า เราจะรักษาศีลให้บริบูรณ์
และจะประกอบความเพียรเนือง ๆ แต่เราก็ไม่สามารถจะทำให้แจ้ง
มรรคหรือผลได้ บัดนี้ไม่มีการแทงตลอดอริยธรรม จึงท้อใจ มาก
ไปด้วยความเกียจคร้าน ไม่ตักเตือนกันและกัน ไม่รังเกียจกัน

(ในการทำชั่ว) ตั้งแต่นั้นก็พากันย่ำยี สิกขาบทเล็กน้อย. เมื่อกาล
ล่วงไป ๆ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ถุลลัจจัย ต่อแต่นั้นต้องครุกาบัติ.
เพียงอาบัติปาราชิกเท่านั้นยังคงอยู่. เมื่อภิกษุ 100 รูปบ้าง 1000
รูปบ้างผู้รักษาอาบัติปาราชิก ยังทรงชีพอยู่ การปฏิบัติชื่อว่ายังไม่
อันตรธาน จะอันตรธานไป เพราะภิกษุรูปสุดท้ายทำลายศีล หรือ
สิ้นชีวิต ดังกล่าวมานี้ ชื่อว่า อันตรายแห่งการปฏิบัติ.

บทว่า ปริยตฺติ ได้แก่ บาลีพร้อมทั้งอรรถกถาในพุทธพจน์
คือ พระไตรปิฎก บาลีนั้นยังคงอยู่เพียงใด ปริยัติก็ชื่อว่ายัง
บริบูรณ์อยู่เพียงนั้น. เมื่อกาลล่วงไป ๆ พระราชาและพระยุพราช
ในกุลียุค ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพระราชาและยุพราชเหล่านั้น ไม่
ตั้งอยู่ในธรรม ราชอมาตย์เป็นต้น ก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม แต่นั้นชาว
แคว้นและชาวชนบท ก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ฝนย่อมไม่ตกต้องตาม
ฤดูกาล เพราะคนเหล่านั้นไม่ตั้งอยู่ในธรรม. ข้าวกล้าย่อมไม่บริบูรณ์
เมื่อข้าวกล้าเหล่านั้นไม่บริบูรณ์ ทายกผู้ถวายปัจจัย ก็ไม่สามารถ
จะถวายปัจจัยแก่ภิกษุสงฆ์ได้ ภิกษุทั้งหลายลำบากด้วยปัจจัย
ก็ไม่สามารถสงเคราะห์พวกอันเตวาสิก. เมื่อเวลาล่วงไป ๆ ปริยัติ
ย่อมเสื่อม ภิกษุทั้งหลายไม่สามารถจะทรงจำอรรถไว้ได้ ทรงจำ
ไว้ได้แต่พระบาลีเท่านั้น. แต่นั้นเมื่อกาลล่วงไป ก็ไม่สามารถจะ
ทรงบาลีไว้ได้ทั้งสิ้น. อภิธรรมปิฎกย่อมเสื่อมก่อน. เมื่อเสื่อม ก็เสื่อม
ตั้งแต่ท้ายมา. จริงอยู่ ปัฏฐานมหาปกรณ์ย่อมเสื่อมก่อนทีเดียว เมื่อ
ปัฏฐานมหาปกรณ์เสื่อม ยมก กถาวัตถุ บุคคลบัญญัติ ธาตุกถา
ธัมมสังคณี ก็เสื่อม เมื่ออภิธรรมปิฎก เสื่อมไปอย่างนี้ สุตตันตปิฎก

ก็เสื่อมตั้งแต่ท้ายมา อังคุตตรนิกายเสื่อมก่อน เมื่ออังคุตตรนิกาย
เสื่อม เอกาทสกนิบาตเสื่อมก่อน ต่อแต่นั้น ทสกนิบาต ฯลฯ ต่อนั้น
เอกนิบาต เมื่ออังคุตตรนิกายเสื่อมไปอย่างนี้ สังยุตตนิกาย ก็เสื่อม
ตั้งแต่ท้ายมา. จริงอยู่มหาวรรค เสื่อมก่อนแต่นั้นสฬายตนวรรค
ขันธกวรรค นิทานวรรค สคาถวรรค เมื่อสังยุตตินิกายเสื่อมไป
อย่างนี้ มัชฌิมนิกายย่อมเสื่อมตั้งแต่ท้ายมา จริงอยู่ อุปริปัณณาสก์
เสื่อมก่อน ต่อนั้น มัชฌิมปัณณาสก์ ต่อนั้นมูลปัณณาสก์. เมื่อ
มัชฌิมนิกายเสื่อมอย่างนี้ ทีฆนิกายเสื่อมตั้งแต่ท้ายมา. จริงอยู่
ปาฏิยวรรคเสื่อมก่อน แต่นั้นมหาวรรค แต่นั้นสีลขันธวรรค เมื่อ
ทีฆนิกายเสื่อมอย่างนี้ พระสุตตันตปิฎกชื่อว่าย่อมเสื่อม. ทรงไว้
เฉพาะชาดกกับวินัยปิฎกเท่านั้น. ภิกษุผู้เป็นลัชชีเท่านั้นทรงพระ
วินัยปิฎก. ส่วนภิกษุผู้หวังในลาภ คิดว่า แม้เมื่อกล่าวแต่พระสูตร
ก็ไม่มีผู้จะกำหนดได้ จึงทรงไว้เฉพาะชาดกเท่านั้น. เมื่อเวลาล่วงไป ๆ
แม้แค้ชาดกก็ไม่สามารถจะทรงไว้ได้. ครั้งนั้น บรรดาชาดกเหล่านั้น
เวสสันตรชาดกเสื่อมก่อน ต่อแต่นั้น ปุณณกชาดก มหานารทชาดก
เสื่อมไปโดยย้อนลำดับ ในที่สุดอปัณณกชาดกก็เสื่อม. เมื่อชาดก
เสื่อมไปอย่างนี้ ภิกษุทั้งหลายย่อมทรงไว้เฉพาะพระวินัยปิฎกเท่านั้น.

เมื่อกาลล่วงไป ๆ ก็ไม่สามารถจะทรงไว้ได้แม้แต่พระวินัยปิฎก
แต่นั้นก็เสื่อมตั้งแต่ท้ายมา. คัมภีร์บริวารเสื่อมก่อน ต่อแต่นั้น ขันธกะ
ภิกษุณีวิภังค์ ก็เสื่อม แต่นั้น ก็ทรงไว้เพียงอุโปสถขันธกเท่านั้น
ตามลำดับ. แม้ในกาลนั้น ปริยัตติก็ชื่อว่ายังไม่เสื่อม ก็คาถา 4 บาท
ยังหมุนเวียนอยู่ในหมู่มนุษย์เพียงใด ปริยัตติก็ชื่อว่ายังไม่อันตรธาน

เพียงนั้น. ในกาลใด พระราชาผู้มีศรัทธาเลื่อมใสทรงให้ใส่ถุงทรัพย์
หนึ่งแสนลงในผอบทองตั้งบนคอช้างแล้วให้ตีกลองร้องประกาศไป
ในพระนครว่า ชนผู้รู้คาถา 4 บท ที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว จงถือ
เอาทรัพย์หนึ่งแสนนี้ไป ก็ไม่ได้คนที่จะรับเอาไป แม้ด้วยการให้เที่ยว
ตีกลองประกาศคราวเดียว ย่อมมีผู้ได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง จึงให้
เที่ยวตีกลองประกาศไปถึง 3 ครั้ง ก็ไม่ได้ผู้ที่จะรับเอาไป. ราชบุรุษ
ทั้งหลาย จึงให้ขนถุงทรัพย์ 100,000 นั้น กลับสู่ราชตระกูลตามเดิม.
ในกาลนั้น ปริยัตติ ชื่อว่า ย่อมเสื่อมไป ดังว่านี้ ชื่อว่า การอันตรธาน
แห่งพระปริยัตติ.
เมื่อกาลล่วงไป ๆ การรับจีวร การรับบาตร การคู้ การ
เหยียด การดูแล การเหลียวดู ไม่เป็นที่นำมาซึ่งความเลื่อมใส.
ภิกษุทั้งหลายวางบาตรไว้ปลายแขนถือเที่ยวไป เหมือนสมณนิครนถ์
ถือบาตรน้ำเต้าเที่ยวไป. แม้ด้วยอาการเพียงเท่านี้ เพศก็ชื่อว่ายัง
ไม่อันตรธาน. เมื่อกาลล่วงไป ๆ เอาบาตรลงจากปลายแขนหิ้วไป
ด้วยมือหรือด้วยสาแหรกเที่ยวไป แม้จีวรก็ไม่ทำการย้อมให้ถูกต้อง
กระทำให้มีสีแดงใช้. เมื่อกาลล่วงไป การย้อมจีวรก็ดี การตัด
ชายผ้าก็ดี การเจาะรังดุมก็ดี ย่อมไม่มี ทำเพียงเครื่องหมายแล้ว
ใช้สอย ต่อมากลับเลิกรังดุม ไม่ทำเครื่องหมาย ต่อมา ไม่การทำ
ทั้ง 2 อย่าง ตัดชายผ้าเที่ยวไปเหมือนพวกปริพาชก เมื่อกาลล่วงไป
ก็คิดว่า พวกเราจะต้องการอะไร ด้วยการกระทำเช่นนี้ จึงผูกผ้า
กาสายะชิ้นเล็ก ๆ เข้าที่มือหรือที่คอ หรือขอดไว้ที่ผม กระทำการ
เลี้ยงภรรยา เที่ยวไถ่หว่านเลี้ยงชีพ. ในกาลนั้น ชนเมื่อให้ทักขิณา

ย่อมให้แก่ชนเหล่านั้นอุทิศสงฆ์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหมาย
เอาข้อนี้ จึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล จักมีโคตรภูบุคคล
ผู้มีผ้ากาสายพันคอ เป็นผู้ทุศีล เป็นผู้มีธรรมอันลามก ชนทั้งหลาย
ให้ทาน ในคนผู้ทุศีล ผู้มีธรรมอันลามกเหล่านั้น อุทิศสงฆ์ อานนท์
ในกาลนั้น เรากล่าวว่า ทักษิณาไปแล้วในสงฆ์ มีผลนับไม่ได้
ประมาณไม่ได้. แต่นั้น เมื่อกาลล่วงไป ๆ ชนเหล่านั้นคิดว่า นี้ชื่อว่า
เป็นธรรมเครื่องเนิ่นช้า พวกเราจะต้องการอะไร ด้วยธรรมเครื่อง
เนิ่นช้านี้ จึงทิ้งท่อนผ้าโยนไปเสียในงา. ในกาลนั้น เพศชื่อว่าหายไป.
ได้ยินว่า การห่มผ้าชาวเที่ยวไปเป็นจารีตของคนเหล่านั้น มาแต่
ครั้งพระกัสสปทศพล ดังว่านี้ ชื่อว่า การอันตรธานไปแห่งเพศ.

ชื่อว่า อันตรธานไปแห่งธาตุ พึงทราบอย่างนี้ :- ปรินิพพานมี
3 คือกิเลสปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งกิเลส, ขันธปรินิพพาน
การปรินิพพานแห่งขันธ์, ธาตุปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งธาตุ
บรรดาปรินิพพาน 3 อย่างนั้น กิเลสปรินิพพาน ได้มีที่โพธิบัลลังก์.
ขันธปรินิพพาน ได้มีที่กรุงกุสินารา ธาตุปรินิพพาน จักมีในอนาคต.
จักมีอย่างไร ? คือครั้งนั้น ธาตุทั้งหลายที่ไม่ได้รับสักการะ และ
สัมมานะในที่นั้น ๆ ก็ไปสู่ที่ ๆ มีสักการะ และสัมมานะ ด้วยกำลัง
อธิษฐานของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เมื่อกาลล่วงไป สักการะและ
สัมมานะก็ไม่มีในที่ทั้งปวง. เวลาพระศาสนาเสื่อมลง พระธาตุ
ทั้งหลายในตามพปัณณิทวีปนี้ จักประชุมกันแล้วไปสู่มหาเจดีย์
จากมหาเจดีย์ ไปสู่นาคเจดีย์ แต่นั้นจักไปสู่โพธิบัลลังก์. พระธาตุ
ทั้งหลายจากนาคพิภพบ้าง จากเทวโลกบ้าง จากพรหมโลกบ้าง

จักไปสู่โพธิบัลลังก์แห่งเดียว. พระธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์
ผักกาดจักไม่หายไปในระหว่าง. พระธาตุทั้งหมดจักประชุมกันที่
มหาโพธิมัณฑสถานแล้ว รวมเป็นพระพุทธรูป แสดงพุทธสรีระ
ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ โพธิมัณฑสถาน. มหาปุริสลักษณะ 32
อนุพยัญชนะ 80 พระรัศมีประมาณวาหนึ่ง ทั้งหมดครบบริบูรณ์
ทีเดียว. แต่นั้นจักการทำปาฏิหาริย์แสดง เหมือนในวันแสดงยมก
ปาฏิหาริย์. ในกาลนั้น ชื่อว่า สัตว์ผู้เป็นมนุษย์ ไม่มีไปในที่นั้น.
ก็เทวดาในหมื่นจักรวาฬ ประชุมกันทั้งหมด พากันครวญคร่ำรำพัน
ว่า วันนี้พระทสพลจะปรินิพพาน จำเดิมแต่บัดนี้ไป จักมีแต่ความมืด.
ลำดับนั้น เตโชธาตุลุกโพลงขึ้นจากพระสรีรธาตุ ทำให้พระสรีระนั้น
ถึงความหาบัญญัติมิได้. เปลวไฟที่โพลงขึ้นจากพระสรีรธาตุ พลุ่ง
ขึ้นจนถึงพรหมโลก เมื่อพระธาตุแม้สักเท่าเมล็ดพรรณผักกาดยัง
มีอยู่ ก็จักมีเปลวเพลิงอยู่เปลวหนึ่งเท่านั้น เมื่อพระธาตุหมดสิ้นไป
เปลวเพลิงก็จักขายหายไป. พระธาตุทั้งหลายแสดงอานุภาพใหญ่
อย่างนี้แล้ว ก็อันตรธานไป. ในกาลนั้น หมู่เทพกระทำสักการะ
ด้วยของหอม ดอกไม้และดนตรีทิพย์เป็นต้น เหมือนในวันที่พระ
พุทธเจ้าทั้งหลายปรินิพพาน กระทำปทักษิณ 3 ครั้ง ถวายบังคม
แล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ จัก
ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เสด็จอุบัติขึ้นในอนาคต ดังนี้แล้วก็กลับไปที่
อยู่ของตน ๆ นี้ ชื่อว่า อันตรธานแต่งพระธาตุ.
การอันตรธานแห่งปริยัตินั่นแล เป็นมูลแห่งอันตรธาน 5
อย่างนี้ จริงอยู่เมื่อพระปริยัตติอันตรธานไป ปฏิบัติก็ย่อมอันตรธาน

เมื่อปริยัตติคงอยู่ ปฏิบัติก็คงอยู่. เพราะเหตุนั้นแหละ ในคราวมีภัย
ใหญ่ครั้งพระเจ้าจัณฑาลติสสะในทวีปนี้ ท้าวสักกะเทวราช นิรมิต
แพใหญ่แล้วแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ภัยใหญ่จักมี ฝนจักไม่ตกต้อง
ตามฤดูกาล ภิกษุทั้งหลายพากันลำบากด้วยปัจจัย 4 จักไม่สามารถ
เพื่อจะทรงพระปริยัติไว้ได้. ควรที่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจะไปยัง
ฝั่งโน้นรักษาชีวิตไว้ โปรดขึ้นแพใหญ่นี้ไปเถิด เจ้าข้า ที่นั่งบนแพนี้
ไม่เพียงพอแก่ภิกษุเหล่าใด ภิกษุเหล่านั้น จงเกาะขอนไม่ไปเถิด
ภัยจักไม่มีแก่ภิกษุทั้งปวง. ในกาลนั้น ภิกษุ 60 รูปไปถึงฝั่งสมุทร
แล้วกระทำกติกากันไว้ว่า ไม่มีกิจที่พวกเราจะไปในที่นั้น พวกเรา
จักอยู่ในที่นี้แล จักรักษาพระไตรปิฎก ดังนี้แล้ว จึงกลับจากที่นั้น
ไปสู่ทักขิณมลยะชนบท เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยรากเหง้า และใบไม้. เมื่อ
ร่างกายยังเป็นไปอยู่ก็พากันนั่งกระทำการสาธยาย เมื่อร่างกาย
เป็นไปไม่ได้ ย่อมพูนทรายขึ้นล้อมรอบศีรษะไว้ในที่เดียวกันพิจารณา
พระปริยัติ. โดยทำนองนี้ ภิกษุทั้งหลาย ทรงพระไตรปิฎก พร้อม
ทั้งอรรถกถาให้บริบูรณ์อยู่ได้ถึง 12 ปี.

เมื่อภัยสงบ ภิกษุ 700 รูป ไม่ทำแม้อักขระตัวหนึ่ง แม้
พยัญชนะตัวหนึ่ง ในพระไตรปิฎก พร้อมทั้งอรรถกถาจากสถานที่ ๆ
ในรูปแล้ว ให้เสียหาย มาถึงเกาะนี้แหละ เข้าไปสู่มณฑลาราม
วิหาร ในกัลลคามชนบท. ภิกษุ 60 รูป ผู้ยังเหลืออยู่ในเกาะนี้ ได้
ฟังเรื่องการมาของพระเถระทั้งหลาย คิดว่า จักเยี่ยมพระเถระ
ทั้งหลาย จึงไปสอบทานพระไตรปิฎกกับพระเถระทั้งหลาย ไม่พบ
แม้อักขระตัวหนึ่ง แม้พยัญชนะตัวหนึ่ง ชื่อว่าไม่เหมาะสมกัน.

พระเถระทั้งหลายเกิดสนทนากันขึ้นในที่นั้นว่า ปริยัติเป็นมูล
แห่งพระศาสนา หรือปฏิบัติเป็นมูล. พระเถระผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็น
วัตร กล่าวว่า ปฏิบัติเป็นมูลแห่งพระศาสนา. ฝ่ายพระธรรมกถึก
ทั้งหลาย กล่าวว่า พระปริยัติเป็นมูล. ลำดับนั้น พระเถระเหล่านั้น
กล่าวว่า เราจะไม่เชื่อโดยเพียงคำของท่านทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ขอ
พวกท่านจงอ้างพระสูตรที่พระชินเจ้าทรงภาษิตไว้. พระเถระ 2
พวกนั้นกล่าวว่า การนำพระสูตรมาอ้าง ไม่หนักเลย พระเถระ
ฝ่ายผู้ทรงผ้าบังสุกุล จึงอ้างพระสูตรว่า ดูก่อนสุภัททะ. ก็ภิกษุ
ทั้งหลายในพระศาสนานี้ พึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์
ทั้งหลาย. ดูก่อนมหาบพิตร พระศาสนาของพระศาสดา มีปฏิบัติ
เป็นมูล มีการปฏิบัติเป็นสาระ เมื่อทรงอยู่ในการปฏิบัติ ก็ชื่อว่า
ยังคงอยู่. ฝ่ายเหล่าพระธรรมกถึกได้ฟังพระสูตรนั้นแล้ว เพื่อจะ
รับรองวาทะของตน จึงอ้างพระสูตรนี้ว่า

พระสูตรยังดำรงอยู่ตราบใด พระวินัยยังรุ่งเรือง
อยู่ตราบใด ภิกษุทั้งหลายย่อมเห็นแสงสว่าง
เหมือนพระอาทิตย์อุทัย อยู่ตราบนั่น เมื่อพระ
สูตรไม่มีและแม้พระวินัยก็หลงเลือนไป ในโลก
ก็จักมีแต่ความมืด เหมือนพระอาทิตย์อัสดงคต
เมื่อภิกษุยังรักษาพระสูตรอยู่ ย่อมเป็นอันรักษา
ปฏิบัติไว้ด้วย นักปราชญ์ดำรงอยู่ในการปฏิบัติ
ย่อมไม่คลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะ ดังนี้


เมื่อพระธรรมกถึก นำพระสูตรนี้มาอ้าง พระเถระผู้ทรงผ้าบังสุกุล

ทั้งหลายก็นิ่ง. คำของพระเถระผู้เป็นธรรมกถึกนั้นแล เชื่อถือได้.
เหมือนอย่างว่า ในระหว่างโคผู้ 100 ตัว หรือ 1000 ตัว เมื่อไม่มี
แม่โคผู้จะรักษาเชื้อสายเลย วงศ์เชื้อสาย ก็ไม่สืบต่อกัน ฉันใด
เมื่อภิกษุเริ่มวิปัสสนา ตั้ง 100 ตั้ง 1000 รูป มีอยู่ แต่ปริยัติไม่มี
ชื่อว่าการแทงคลอดอริยมรรคก็ไม่มี ฉันนั้นนั่นแล. อนึ่งเมื่อเขาจารึก
อักษรไว้หลังแผ่นหิน เพื่อจะให้รู้ขุมทรัพย์ อักษรยังทรงอยู่เพียงใด
ขุมทรัพย์ทั้งหลาย ชื่อว่ายังไม่เสื่อมหายไปเพียงนั้น ฉันใด เมื่อ
ปริยัติ ยังทรงอยู่ พระศาสนา ก็ชื่อว่ายังไม่อันตรธาน ไป ฉันนั้น
เหมือนกันแล.
จบ อรรถกถาวรรคที่ 10

อธรรมวรรคที่ 11



ว่าด้วยผู้ทำให้พระสัทธรรมเสื่อมและมั่นคง



[131] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงอธรรมว่าธรรม
ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไม่เป็นประโยชงเกื้อกูล ไม่เป็น
ความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนัตถะเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชน
เป็นอันมาก เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบ
บาปใช่บุญเป็นอันมาก และย่อมจะยังสัทธรรมนี้ให้อันตรธาน.
[132] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงธรรมว่า อธรรม
ฯลฯ ที่แสดงสิ่งที่มิใช่วินัยว่า วินัย ฯลฯ ที่แสดงวินัยว่า มิใช่วินัย ฯลฯ
ที่แสดงคำพูดอันตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้กล่าวไว้ว่าตถาคตภาษิตไว้
กล่าวไว้ ฯลฯ ที่แสดงคำพูดอันตถาคตได้ภาษิตไว้ กล่าวไว้ว่า ตถาคต
มิได้ภาษิตไว้ มิได้กล่าวไว้ ฯลฯ ที่แสดงกรรมอันตถาคตมิได้สั่งสมว่า
ตถาคตสั่งสม ฯลฯ ที่แสดงกรรมอันตถาคตได้สั่งสมไว้ว่า ตถาคตมิได้
สั่งสมไว้ ฯลฯ ที่แสดงสิ่งอันตถาคตบัญญัติไว้ว่า ตถาคตมิได้บัญญัติไว้
ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็น
ความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนัตถะเพื่อมิใช่ประโยชน์กื้อกูล ชน
เป็นอันมาก เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบ
บาปใช่บุญเป็นอันมาก และย่อมยังสัทธรรมนี้ให้อันตรธาน.
[133] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงอธรรมว่าอธรรม
ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข